วว. คว้ารางวัลการวิจัยแห่งชาติ ประเภทวิทยานิพนธ์ สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช / วิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (อว.) ได้รับ “รางวัลการวิจัยแห่งชาติ” ประจำปีงบประมาณ 2568 และประกาศนียบัตร ”รางวัลผลงานคุณภาพ NRCT Quality Achievement Award” จาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จำนวน 2 ผลงาน ดังนี้
1) ประเภทวิทยานิพนธ์ สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช ได้แก่ ดร.สิทธิพงศ์ สรเดช นักวิจัย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร (ศนส.) จากผลงาน “โพลิเอทิลเลนิมีนเชิงเส้นและอนุพันธ์เพื่อเป็นวัสดุชีวภาพ (Biomaterials) และสารช่วย (Excipients) ที่มีศักยภาพสำหรับการนำส่งยา” (Linear Polyethyleneimine and Derivatives as Potential Biomaterials and Excipients for Drug Delivery)
2) ประเภทวิทยานิพนธ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย ได้แก่ ดร.วรวัฒน์ ทรงกิตติ นักวิชาการ ศูนย์ทดสอบมาตรฐานระบบขนส่งทางราง (ศทร.) จากผลงาน ”Investigation of On-Road Particulate Matter Characteristics from Brake Wear Mechanisms” ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์ลักษณะและปัจจัยที่มีผลต่อการปล่อยอนุภาคในละอองจากการเบรกยานยนต์ในสภาพการขับขี่จริง โดยใช้เทคนิคการเก็บตัวอย่างแบบไอโซคิเนติก (Isokinetic Sampling) ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวัดค่าอนุภาค พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบจากอุณหภูมิการเบรกและปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อปริมาณฝุ่นละออง
ทั้งนี้ในประจำปีงบประมาณ 2568 มีนักวิจัยได้รับรางวัลจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ จำนวน 180 ราย ประกอบด้วย รางวัลนักวิจัยดีเด่น จำนวน 13 ราย รางวัลผลงานวิจัย จำนวน 53 รางวัล รางวัลวิทยานิพนธ์ จำนวน 52 รางวัล และรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น จำนวน 62 รางวัล สำหรับผู้ได้รับรางวัลจะเข้ารับพระราชทานเกียรติบัตรรางวัลการวิจัยแห่งชาติ จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันอาทิตย์ที่ 2 ก.พ. 2568
ทั้งนี้ วช.มอบรางวัลดังกล่าว เพื่อเชิดชูเกียรตินักวิจัยที่มีสัญชาติไทย มีผลงานวิจัยดีเด่น ที่แสดงถึงความคิดริเริ่มและเป็นผลงานวิจัย ที่ทำสะสมกันมาไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยผลงานวิจัยสร้างคุณูปการและเกิดประโยชน์ในวงวิชาการ เชิงเศรษฐกิจ เชิงชุมชน สังคม และเชิงนโยบายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นที่ยอมรับและยกย่องในวงวิชาการ และสมควรเป็นแบบอย่างแก่นักวิจัยอื่นได้ ทั้งมีการปฏิบัติตนที่ไม่ขัดต่อจรรยาบรรณของนักวิจัยตามแนวทางที่ วช.กำหนดไว้