เมื่อ : 02 ธ.ค. 2568

วันที่ 2 ธ.ค. ตัวแทนชุมชนริมทางด่วน 4 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนวัดมะกอกสวนหน้า ชุมชนวัดมะกอกกลางสวน ชุมชนสุขสวัสดิ์ และชุมชนบุญชูศรี รวมถึงสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษแห่งประเทศ และตัวแทนจากสภาผู้บริโภค เข้ายื่นหนังสือต่อนายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เพื่อตรวจสอบการก่อสร้างทางด่วน 2 ชั้น  (Double Deck) ความยาว 17 กิโลเมตร บนแนวทางด่วนศรีรัชตอนงามวงศ์วาน – พระรามเก้า เนื่องจากโครงการมีความไม่โปร่งใส กระทบการดำเนินชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรง และไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานคร

ทางด่วน 2 ชั้น เสี่ยงขัดกฎหมายร่วมทุน - ไม่แก้ปัญหาจราจร

 

นายบัณฑิต พลึงลำภู ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (สร.กทพ) กล่าวว่า โครงการก่อสร้างทางด่วน 2 ชั้น  (Double Deck) งามวงศ์วาน - พระราม 9 มูลค่า 34000 ล้านบาท มีความไม่โปร่งใส โดยเป็นการขยายสัมปทานให้แก่เอกชนรายเดิมยาวนานถึง 22 ปี 5 เดือน โดยไม่เปิดประมูลแข่งขัน ซึ่งอาจเข้าข่ายขัดต่อกฎหมายร่วมทุนภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้ หากการขยายสัมปทานเกิดขึ้นจริง รัฐอาจสูญเสียรายได้รวมมากกว่า 170000 ล้านบาท ทั้งที่รายได้ส่วนนี้ควรกลับคืนสู่ภาครัฐหลังสัมปทานทยอยหมดอายุในปี 2578 เพื่อใช้พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานอื่น หรือเพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชน


”โครงการมูลค่า 34000 ล้าน แต่กลับขยายสัมปทานให้เอกชนเดิมยาว 22 ปีโดยไม่เปิดประมูล นี่คือความไม่โปร่งใสที่ประชาชนไม่อาจยอมรับได้” นายบัณฑิต ระบุ

 

นอกจากนี้ การคัดค้านยังเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่า ระหว่างปี 2562 – 2568 ปริมาณรถบนทางด่วนลดลงกว่า 13% ซึ่งสวนทางกับเหตุผลของโครงการที่อ้างถึงปัญหาการจราจรติดขัดเป็นหลัก ขณะที่นักวิชาการด้านคมนาคมจำนวนมากเห็นพ้องต้องกันว่า ทางแก้ปัญหาการระบายรถจากฝั่งตะวันตกสู่ตะวันออกควรเป็นการเดินหน้าโครงการตามแนวเกษตร – นวมินทร์ ซึ่งเป็นแผนแม่บทดั้งเดิมที่มีความเหมาะสมกว่า แต่กลับถูกละเลยไม่หยิบมาพิจารณา โดยไม่ปรากฏเหตุผลที่ชัดเจน

 

ปัญหาสิ่งแวดล้อม – EIA ไม่โปร่งใส เสียงสะท้อนชุมชน


ด้าน นายนที ศิริธรรมวัฒน์ ที่ปรึกษาเครือข่ายชุมชนเขตพญาไท กล่าวว่า ผลกระทบที่ชุมชนใต้ทางด่วนต้องเผชิญ ทั้งผลกระทบด้านคุณภาพอากาศที่ปัจจุบันอยู่ในระดับ “สีแดง” อยู่แล้ว และจะรุนแรงขึ้นจากฝุ่นก่อสร้าง ทางด่วนชั้นที่ 2 รวมถึงเสียงรบกวน แสงสว่างที่ถูกบดบัง และภาวะความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง นอกจากนี้ การก่อสร้างที่คาดว่าจะยาวนานถึง 4 ปี อาจทำให้เศรษฐกิจชุมชนหยุดชะงัก หลายครอบครัวอาจได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ลดลง ขณะที่หน่วยงานรัฐไม่เคยประกาศแผนการเยียวยาหรือชดเชยผลกระทบให้แก่ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

 

”ฝุ่น เสียง แสงแดดที่ถูกบดบัง และเศรษฐกิจที่ต้องหยุดชะงัก 4 ปี ไม่มีชุมชนไหนควรต้องแลกชีวิตประจำวันของตัวเองกับทางด่วนชั้นที่ 2 ที่มาอยู่เหนือหัวแบบนี้” นายนทีกล่าว

ขณะที่ นายเทพพล เครื่องจันทร์ ประธานชุมชนวัดมะกอกส่วนหน้า ตั้งข้อสังเกตถึงกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของโครงการดังกล่าว ว่า แม้จะเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่กระทบต่อประชาชนจำนวนมาก แต่การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นตามกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA (Environmental Impact Assessment) กลับมีผู้เข้าร่วมเพียง 60 – 70 คนเท่านั้น ขณะที่เมื่อชุมชนจัดเวทีคัดค้านโครงการทางด่วน 2 ชั้น กลับมีประชาชนในพื้นที่มากกว่า 600 คนเดินทางมาร่วมคัดค้าน สะท้อนว่าประชาชนจำนวนมากไม่เคยได้รับข้อมูลหรือการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลผลการประเมิน EIA ให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียได้รับรู้อีกด้วย

 

​“ถ้าเจ้าของโครงการจริงใจ ทำไมชาวบ้าน 600 คนยังไม่เคยรู้ว่าโครงการจะเกิดขึ้นเหนือบ้านตัวเอง กระบวนการที่ไม่บอกกล่าวย่อมไม่อาจเรียกว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนได้” ประธานชุมชนวัดมะกอกส่วนหน้า แสดงความเห็น

การยื่นหนังสือคัดค้านในครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณชัดเจนว่า ประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและต้องการความโปร่งใสในการตัดสินใจของรัฐ ขณะเดียวกันหน่วยงานรัฐก็เริ่มให้ความสนใจและเตรียมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญต่อทิศทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของกรุงเทพมหานครในอนาคต

 

กมธ. เตรียมตรวจสอบ 3 ประเด็นหลัก

นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ระบุ ว่าประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมานั้นเป็นเรื่องสำคัญต่อประโยชน์สาธารณะและความโปร่งใสของภาครัฐ โดยคณะกรรมาธิการจะพิจารณาอย่างรอบด้านในสามประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) ความจำเป็นและความคุ้มค่าของโครงการ 2) ความถูกต้อง สอดคล้องกับกฎหมายร่วมทุน และ 3) ความถูกต้องโปร่งใสของกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยจะมีการเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลภายในสัปดาห์หน้า

 

“โครงการระดับนี้ต้องตอบให้ได้ทั้งเรื่องความคุ้มค่า ความถูกต้องตามกฎหมาย และการมีส่วนร่วมของประชาชน ถ้าตอบไม่ได้ ก็ไม่อาจเดินหน้าได้” ประธาน กมธ. การพัฒนาการเมืองฯ ระบุ

ทางด้าน นายสุนทร พฤกษิพัฒน์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค ให้ความเห็นว่า การผลักดันโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลประโยชน์ระดับแสนล้านในช่วงที่รัฐบาลใกล้หมดวาระนั้นเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างระมัดระวัง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ปัญหารถติดบนทางด่วนส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการขาดเส้นทางเพิ่มเติม แต่เกิดจากถนนที่เป็นทางลงไม่เพียงพอที่จะรองรับรถจากทางด่วน การเพิ่มชั้นบนทางด่วนจึงอาจไม่ได้ช่วยบรรเทาปัญหาที่แท้จริง และควรมุ่งปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะระบบราง ซึ่งเป็นทางออกที่ยั่งยืนกว่า

 

​“วันนี้ประเทศไทยควรลงทุนในระบบขนส่งสาธารณะ ไม่ใช่ทุ่มงบสร้างถนนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะทางออกของการจราจรไม่ใช่การเพิ่มชั้นถนน แต่คือการเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนเดินทางได้จริง” นายสุนทร กล่าว
 

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ