บทเรียนหาดใหญ่ สู่การป้องกันกรุงเทพ คาดผลกระทบภัยพิบัติทางธรรมชาติต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้องปรับยุทธศาสตร์เป็นพัฒนาแบบยั่งยืนมากขึ้น เดินหน้าลงทุนระบบการบริหารจัดการน้ำ ป้องกันกรุงเทพฯจมลงต่ำกว่าระดับน้ำทะเล
วันที่ 30 พ.ย. รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ อดีตกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ เปิดเผยว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจ ชีวิต ทรัพย์สินของคนจำนวนมากจากน้ำท่วมใหญ่หาดใหญ่และภาคใต้ สะท้อน ความล้มเหลวในการบริหารจัดการภัยพิบัติขนาดใหญ่ของสังคมไทยอย่างชัดเจน ต้องมีการถอดบทเรียนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและความผิดผลาดซ้ำเดิมอีก คาดผลกระทบภัยพิบัติทางธรรมชาติต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากภาวะโลกร้อน
นอกจากนี้ชาวไทยยังเผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมเข้าขั้นวิกฤติหลายมิติหลายลักษณะด้วยกัน ปัญหาน้ำท่วมฉับพลัน ฝนตกหนัก น้ำท่วมรุนแรงจากปรากฎการณ์ลานีญาล้วนมีความเกี่ยวพันกับภาวะโลกร้อน ภาวะโลกร้อนอันเป็นผลจากการพัฒนาแบบทำลายสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานฟอสซิสที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกทำลายชั้นบรรยากาศโลก เกิดความแปรปรวนของภูมิอากาศอย่างรุนแรง
จากข้อมูลของนักวิจัยเกี่ยวกับลานีญาในประเทศไทย พบว่า ปรากฎการณ์ลานีญาอาจยาวนาน 9-12 เดือน ทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง ทำให้ปริมาณน้ำฝนอาจสูงถึง 14000 ล้าน ลบ. ม. การคาดการณ์เหล่านี้ มีการนำเสนอข้อมูลล่วงหน้ามา 1-2 ปีแล้ว เป็นข้อมูลพยากรณ์ที่มีฐานจากการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ แต่การตัดสินใจทางนโยบายและการดำเนินการของระบบราชการในหลายกรณีไม่ได้อิงข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่เท่าไหร่ จึงทำให้ “การตัดสินใจ” “การสั่งการ” “การดำเนินการ” ไม่มีประสิทธิภาพและล้มเหลว การสูญเสียทางเศรษฐกิจเกิดจากการลดลงของรายได้ ความเสียหายทางทรัพย์สิน ความเสียหายทางด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิต จากการชะลอตัวลงของการท่องเที่ยวและการเดินทาง ภัยพิบัติเกี่ยวเนื่องกับปัญหาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การชะลอตัวลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลางแจ้งและโครงการก่อสร้างต่างๆ ค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้น ค่าเสียโอกาสจากประเด็นทางด้านสุขภาพ
นอกจากนี้ผู้มีรายได้น้อยและคนจนในพื้นที่ภัยพิบัติจะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ผู้ใช้แรงงานในเขตพื้นที่ภัยพิบัติ
การเปลี่ยนผ่านจากเอลนีโญ สู่ ลานีญา ในไทย ทำให้ภาคเกษตรกรรมได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ หลายพื้นที่ของประเทศเจอน้ำท่วมซ้ำซาก ช่วงหน้าแล้งก็เจอภัยแล้งรุนแรงมาก การจะบรรเทาปัญหาเหล่านี้ได้ต้องปรับยุทธศาสตร์เป็นการพัฒนาแบบยั่งยืน เดินหน้าลงทุนระบบการบริหารจัดการน้ำ การปรับยุทธศาสตร์เป็นการพัฒนาแบบยั่งยืน จะช่วยแก้ที่ต้นตอของปัญหา การพัฒนาในแบบที่ทำลายสิ่งแวดล้อมจะทำให้เกิดภาวะโลกเดือดรุนแรงขึ้นอีกทั้งส่งผลให้เกิดความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศน้ำท่วม ภัยแล้งรุนแรงขึ้นไปอีก ขณะที่หลายพื้นที่ ประชาชนฐานรากเผชิญความยากลำบากอย่างรุนแรง รัฐบาลต้องปลดล็อคหนี้ทับถมอันเป็นผลมาจากการไม่สามารถทำงานและแสวงหารายได้จากพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับความเสียหาย ผ่านการทำโครงการลงทุนขนาดเล็กกระจายทั่วประเทศเพื่อสร้างฐานรายได้ให้กับประชาชนฐานราก
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ความไม่มั่นใจต่อการบริหารจัดการเรื่องอุทกภัย การจัดการน้ำท่วมขังและการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบเกิดขึ้นต่อสาธารณชน และ เริ่มวิตกกังวลมากขึ้นว่าจะเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต การทำงาน การสูญเสียรายได้และทรัพย์สินแบบหาดใหญ่ และแบบปี พ.ศ. 2554 หรือไม่ การเตรียมการรับมือมีประสิทธิภาพอย่างไร ขณะที่ ปัญหาที่ใหญ่กว่าน้ำท่วมขังอุทกภัยใหญ่หาดใหญ่และภาคใต้ และ แบบปี 2554 ก็คือ มีงานวิจัยของกรีนพีซเตือนว่าในอีก 4-5 ปีข้างหน้า กรุงเทพฯอาจจมทะเล สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสังคมรุนแรงหากไม่ทำอะไรเพื่อป้องกันตั้งแต่ตอนนี้อย่างจริงจัง เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวพันกันมากขึ้น เรื่อย ๆ งานวิจัยของธนาคารโลกชี้ด้วยว่า ต้นทุนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือภาวะโลกร้อนที่ไม่มีการแก้ไขสูงถึง 20% ของจีดีพีโลก และ เพิ่มมากขึ้น เรื่อยๆ ในอนาคต ความเสียหายลดลงได้หากทุกประเทศร่วมมือกันในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดกิจกรรมที่ทำลายสิ่งแวดล้อมและสร้างมลพิษทางอากาศ
แม้นว่า ขณะนี้ สถานการณ์การทรุดตัวของกรุงเทพฯดีขึ้นจากสั่งห้ามการดูดน้ำบาดาลมาใช้ แต่การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลยังเกิดขึ้นต่อเนื่องหากกรุงเทพฯและปริมณฑลเผชิญน้ำท่วมไหลหลากจากทางเหนือบวกระดับน้ำทะเลสูงขึ้นไปพร้อมกัน
จากข้อมูลของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) บ่งชี้ว่า การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ระหว่าง 0.43-0.84 เมตรภายในปี พ.ศ. 2643 ไทยจะเผชิญการเกิดพายุความเร็วลมรุนแรงสร้างความเสียหายมากขึ้น คลื่นพายุซัดฝั่งสูงขึ้น และ ปริมาณน้ำฝนมีสภาวะสุดขีดมากกว่าในอดีตเหมือนที่เกิดขึ้นที่หาดใหญ่ หากเกิดสถานการณ์กรุงเทพฯจมน้ำความเสียหายทางด้านต่างๆจะรุนแรงมากกว่าหาดใหญ่หลายเท่าตัว หากพื้นที่มากกว่า 80% ของกรุงเทพจมทะเล งานวิจัยกรีซพีซประเมินสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจอยู่ที่ 18.6 ล้านล้านบาท กระทบประชาชนกว่า 10.45 ล้านคน พื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ 1512 ตารางกิโลเมตร พื้นที่มากกว่า 96% ของกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำที่เสี่ยงน้ำท่วมหากระดับน้ำทะเลหนุนสูง และ มีงานวิจัยของ Greenpeace ฉายภาพอนาคตว่า กรุงเทพฯอาจเผชิญน้ำท่วมใหญ่ในปี พ.ศ. 2573
ตนจึงขอเสนอนโยบาย 6 ข้อเร่งดำเนินการ ได้แก่ สร้างเขื่อนกั้นน้ำ หรือ ”ถนนเลียบชายฝั่งยกสูง” ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากซึ่งรัฐบาลต้องวางแผนงบประมาณให้ดี ปลูกป่าชายเลน เพื่อให้เป็นพื้นที่กันชน ซับน้ำ รองรับความรุนแรงของคลื่นทะเล การปลูกป่าชายเลนตลอดแนวพื้นที่จากบางขุนเทียน สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สมุทรปราการจะฟื้นฟูธรรมชาติและยังสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้อีกด้วย จัดระเบียบการใช้ที่ดินริมชายฝั่ง กระจายการลงทุนไปภูมิภาค หันมาใช้พลังงานหมุนเวียน และศึกษาการย้ายเมืองหลวง นโยบายการย้ายเมืองหลวงแบบกรุงจาร์กาตาควรถูกนำมาศึกษาอย่างจริงจัง เสนอว่า รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งต้องเริ่มต้นลงทุนเพื่อป้องกัน “กรุงเทพและปริมณฑล” จากภัยพิบัติในอนาคตโดยเฉพาะการเผชิญน้ำท่วมใหญ่จากระดับน้ำทะเลหนุนสูงพร้อมน้ำหลากจากทางเหนือ
.
ขอบคุณภาพจาก : Weerapong Narongkul
