มหาอุทกภัยหาดใหญ่ทำเศรษฐกิจภาคใต้ติดลบ ชี้ความล้มเหลวในการจัดการภัยพิบัติขนาดใหญ่สะท้อนกลไกราชการมีปัญหา
แนะเร่งปฏิรูปกระบวนทัศน์จัดการภัยพิบัติแบบเชิงรุกหลังเผชิญภาวะโลกร่วน ต้องนำวิทยาการวิเคราะห์ข้อมูล และ Ai มาคาดการณ์อนาคต
วันที่ 27 พ.ย. รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า มหาอุทกภัยหาดใหญ่และบางจังหวัดในภาคใต้อาจจะทำให้เศรษฐกิจภาคใต้ติดลบในไตรมาสสี่และมีแนวโน้มสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวจำนวนมาก ขณะที่ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับไปดู ผลกระทบทางเศรษฐกิจของอุทกภัยหาดใหญ่ในอดีต พบว่า ในปี พ.ศ. 2543 สร้างความเสียหายกว่า 10000 ล้านบาท
ส่วนปี 2553 ความเสียหายประมาณ 20000 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งบ้านเรือน สินทรัพย์ รายได้จากภาคท่องเที่ยว รายได้ของแรงงาน และโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนมหาอุทกภัยในครั้งนี้รุนแรงกว่าในอดีต และ มีผู้เสียชีวิตจากความล้มเหลวในการจัดการภัยพิบัติขนาดใหญ่ หาดใหญ่เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของภาคใต้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวมาเลเซียและสิงคโปร์ ภาพลักษณ์เสียหายอาจทำให้การฟื้นตัวต้องใช้เวลานาน
รศ. ดร. อนุสรณ์ กล่าวว่า ความล้มเหลวในการจัดการภัยพิบัติขนาดใหญ่สะท้อนกลไกราชการมีปัญหา การทำงานเป็นแบบตั้งรับและยังคงเป็นเรื่องของการเยียวยาฟื้นฟู บรรเทาความเดือดร้อน มากกว่า การทำงานเชิงรุกและลดความเสี่ยงเชิงระบบ ขณะเดียวกัน เกิดปัญหาเอกภาพในการสั่งการ อำนาจสั่งการทับซ้อนกัน ทำให้เกิดความสับสนซ้ำซ้อนในการแก้ปัญหา การเคลื่อนย้ายทรัพยากรเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติไม่มีประสิทธิภาพและไม่เท่าทันต่อสถานการณ์ที่มีอันตรายต่อชีวิต
ขณะที่เราเห็นนักการเมืองส่วนใหญ่ไปผัดกับข้าว ลุยน้ำ แจกของออกสื่อ แทนที่จะใช้เวลาและทรัพยากรในพัฒนาระบบในการรับมือกับภัยพิบัติ ประสานงานเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาโดยภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาระบบ Digital Terrain Model จะทำให้สามารถพัฒนาแบบจำลองน้ำไหลได้อย่างแม่นยำ สามารถคำนวณมวลกระแสน้ำสะสมและระบุระดับความเสี่ยงของน้ำท่วม
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ควรเร่งปฏิรูปกระบวนทัศน์จัดการภัยพิบัติแบบเชิงรุกหลังเผชิญความแปรปรวนของธรรมชาติเป็นความปรกติใหม่จากภาวะโลกร้อน โดยต้องนำ วิทยาการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และ ปัญญาประดิษฐ์ Ai มาคาดการณ์อนาคต แต่การจะดำเนินการเช่นนั้นได้จำเป็นต้องมีการเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ และฐานข้อมูลต้องครบถ้วนถูกต้อง บูรณาการระบบข้อมูลทั้งหมดเพื่อสามารถใช้ข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจได้ เป็นการบริหารจัดการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ข้อมูลเหล่านี้ยังสามารถนำมาใช้เพื่อพิจารณาในการลงทุนป้องกันภัยพิบัติได้ตรงเป้าหมายยิ่งขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ควรใช้ประโยชน์จากข้อมูลดาวเทียมและภูมิสารสนเทศจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศหรือจิสด้าเพื่อป้องกันภัยพิบัติล่วงหน้าได้มากขึ้นจากการที่สามารถประเมินพื้นที่ที่เสี่ยงภัยพิบัติได้ การนำข้อมูลจากจีสด้าที่แสดงข้อมูล ระดับลึกของน้ำมาซ้อนทับกับข้อมูลมือถือเพื่อที่ทราบแหล่งที่ตั้งของผู้ประสบภัยที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ จะทำให้สามารถเข้าช่วยเหลือได้ตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) โทรศัพท์ 02-697-6300/6304/6305/02-697-6349
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยhttps://economics.utcc.ac.th/
