เมื่อ AI นั่งแท่นผู้มีอิทธิพลอันดับหนึ่งของวงการสื่อสาร!! OAC ชี้ภูมิทัศน์สื่อสาร เอเชียครั้งใหม่ “ยุคที่แบรนด์ต้องปรับแนวทางทำงานแบบยกเครื่อง” พร้อมเรื่องต้องรู้ก่อนถูก AI แย่งตำแหน่ง
· SEO หลบไป ยุคใหม่ต้อง GEO กลยุทธ์ปลุกแบรนด์ ‘ชนะใจอัลกอริทึม’ ก่อนเข้าถึงผู้บริโภค
ในยุคที่เทคโนโลยี AI กำลังปฏิวัติวงการสื่อสารและการตลาดอย่างรวดเร็ว การทำความเข้าใจตลาดท้องถิ่นและพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละประเทศกลายเป็นกุญแจสำคัญที่จะเปิดประตูสู่ความสำเร็จ นี่คือเหตุผลที่ One Asia Communications (OAC) เครือข่ายประชาสัมพันธ์ระดับภูมิภาคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มเอเจนซี่ประชาสัมพันธ์ท้องถิ่น กลายเป็นพันธมิตรที่ขาดไม่ได้สำหรับแบรนด์ที่ต้องการเติบโตในตลาดเอเชีย
ด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการเข้าถึงและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในตลาดและวัฒนธรรมของทั้ง 12 ประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่ไทย กัมพูชา จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย อินเดีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไปจนถึงเวียดนาม OAC ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพลังของการรวมทรัพยากรและประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่น สามารถช่วยให้แบรนด์และองค์กรสร้างการเติบโตในตลาดที่ซับซ้อนของเอเชียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
AI กับโฉมหน้าใหม่ของการประชาสัมพันธ์: จาก Influencer สู่ AI as the Ultimate Influencer
ในงาน OAC Regional Communications Forum 2025 ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 โดยในปีนี้จัดภายใต้ธีม ”AI-Powered PR: Transforming Asia’s Communication Future” ได้เปิดเผยความจริงข้อหนึ่งที่อาจทำให้นักการสื่อสารหลาย ๆ คนต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ นั่นคือ AI กำลังกลายเป็น ”ผู้มีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ที่มีอำนาจในการกำหนดว่าข้อมูลใดจะถูกนำเสนอต่อผู้บริโภค และข้อมูลใดจะถูกละเลย
Ong Hock Chuan ผู้ก่อตั้ง Maverick จากอินโดนีเซีย ได้เปิดมุมมองที่น่าสนใจในวงเสวนาหัวข้อ ”Navigating the AI Frontier – A Survey of PR Professionals in Asia towards AI Implementation” ว่า AI ไม่ได้แค่เป็นเครื่องมือเทคโนโลยีอีกตัวหนึ่ง แต่มันกำลังเปลี่ยนแปลงสิ่งพื้นฐานสามประการของมนุษย์ ได้แก่ พฤติกรรม ความเชื่อ และวิธีการค้นหาข้อมูล เมื่อคนถามคำถามกับ AI พวกเขาจะได้รับคำตอบที่ดูเรียบง่าย ชัดเจน และน่าเชื่อถือมาก นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ”anchor bias” ซึ่งทำให้คนมักจะยึดติดกับข้อมูลแรกที่ได้รับ และข้อมูลที่น่าตกใจคือ ปัจจุบันการค้นหาผ่าน Google search ลดลงถึง 90% เนื่องจากผู้บริโภคหลายคนเริ่มหันไปใช้ AI เช่น ChatGPT หรือ Gemini ในการค้นหาข้อมูลทดแทน สิ่งนี้หมายความว่า งานของนักการสื่อสารในยุคนี้ไม่ใช่แค่การสื่อสารกับคนเท่านั้น แต่ต้องเรียนรู้วิธีการ ”influence the influencer” หรือสร้างอิทธิพลต่อ AI เพื่อให้ข้อมูลที่ต้องการสื่อสาร สามารถเข้าถึงผู้คนได้มากยิ่งขึ้น
GEO เกมส์ใหม่ที่เปลี่ยนกฎเกณฑ์การแข่งขัน
หนึ่งในแนวคิดที่สำคัญที่สุดที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงในการเสวนาครั้งนี้คือ GEO หรือ Generative Engine Optimization ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการปรับปรุงเนื้อหาและโครงสร้างเว็บไซต์ เพื่อให้แบรนด์หรือข้อมูลปรากฏใน ผลลัพธ์ที่สร้างโดย AI เป็นการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้เหมาะสมกับยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทในการค้นหาและนำเสนอข้อมูล โดย คุณ Ong Hock Chuan อธิบายว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง GEO กับ SEO ซึ่งเป็นแนวทางเดิมที่นักการสื่อสารมักใช้กันมานาน จะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจน ในยุค SEO การแข่งขันคือการทำอย่างไรให้เว็บไซต์ขึ้นอยู่ในอันดับต้นๆ โดยยิ่งจ่ายเงินมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถขึ้นอันดับสูงได้มากเท่านั้น แต่ในยุค GEO แม้เว็บไซต์จะอยู่อันดับหนึ่ง แต่ถ้า AI ไม่แสดงข้อมูลใน AI Overview ผู้ใช้ก็จะไม่เห็นข้อมูลนั้น
ข้อมูลการวิจัยพบว่า AI จะดึงข้อมูลมาจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือเป็นหลัก โดยให้ความสำคัญกับ Earned Media เช่น ข่าวจากสื่อมวลชน เป็นอันดับแรก รองลงมาคือ Owned Media เช่น เว็บไซต์องค์กร ส่วนที่น่าสนใจคือ Social Media และเนื้อหาจาก Influencer ที่ในอดีตถือว่ามีอิทธิพลสูงมาก กลับมีอิทธิพลต่อ AI เพียง 5% เท่านั้น สิ่งนี้จึงช่วยให้เกิดความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น เพราะไม่ใช่แค่คนที่มีงบประมาณมหาศาลเท่านั้นที่จะชนะ แต่เป็นผู้ที่สามารถนำ AI มาใช้ได้เร็วกว่า เข้าใจวิธีการทำงานได้ดีกว่า และมีประสิทธิภาพในการปรับใช้มากกว่า จึงจะทำให้การสื่อสารในยุค GEO ประสบความสำเร็จ
ยุค Zero Clicks ความท้าทายใหม่ของแบรนด์
คุณ Ong Hock Chuan เตือนว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร ต้องเข้าใจว่า AI ไม่ได้มาแทนที่มนุษย์เสมอไป มนุษย์ยังคงต้องทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้จาก AI และเรียนรู้ที่จะจัดการกับความเสี่ยงในยุคของ ”Zero Clicks” ที่คำตอบเพียงคำตอบเดียวจาก AI สามารถกำหนดชื่อเสียงของแบรนด์ได้
“เมื่อผู้บริโภคถาม AI เกี่ยวกับแบรนด์ และ AI ให้คำตอบที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ นั่นอาจส่งผลกระทบต่อการรับรู้และการตัดสินใจของผู้บริโภคได้ทันที โดยที่พวกเขาไม่ได้คลิกเข้าไปที่เว็บไซต์ของแบรนด์เพื่อตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมใด ๆ เลย นี่คือเหตุผลว่าทำไมการทำ GEO และการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ น่าเชื่อถือ และถูกต้องจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคปัจจับนนี้ และแบรนด์ต้องทำงานเชิงรุกเพื่อให้แน่ใจว่า AI มีข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนเกี่ยวกับองค์กรของเรา
ความท้าทายในแต่ละตลาด เมื่อวัฒนธรรมและภาษาเป็นตัวชี้ขาด
Jin Ool กรรมการผู้จัดการ Distilleri จากสิงคโปร์ ชี้ให้เห็นว่า ประเทศในเอเชียมีระดับการยอมรับและความพร้อมในการใช้ AI ที่แตกต่างกันไป โดยประเทศตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มยอมรับ AI ในเชิงบวกมากกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ที่จะมีความระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลี และสิงคโปร์
สำหรับสิงคโปร์ แม้รัฐบาลจะส่งเสริมให้ประชาชนยอมรับและใช้ AI อย่างเต็มที่ แต่ก็ตระหนักดีว่า AI เป็นดาบสองคม เนื่องจากเคยมีกรณี deepfake วิดีโอของผู้นำประเทศ ดังนั้นรัฐบาลจึงกำหนดนโยบายให้โรงเรียนทุกแห่งต้องมีหลักสูตรเกี่ยวกับ AI และส่งเสริมให้นักเรียนมีนิสัยในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลอยู่เสมอ
คุณ Jin อธิบายเพิ่มเติมว่า หนึ่งในความท้าทายใหญ่คือเรื่องของภาษาและวัฒนธรรม เพราะในช่วงแรกของการพัฒนา AI เทคโนโลยีส่วนใหญ่ถูกออกแบบด้วยภาษาอังกฤษเป็นหลัก ทำให้ประเทศที่ใช้ภาษาเฉพาะหรือภาษาที่มีโครงสร้างซับซ้อน เช่น ญี่ปุ่น ไทย หรือเวียดนาม อาจเสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีผู้ใช้งานในภาษาเหล่านั้นเพิ่มจำนวนมากขึ้น ความแม่นยำของ AI ที่เกิดการเรียนรู้แล้ว ก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมประเทศหรือภาษาใดที่เริ่มใช้ AI ก่อนจะมีข้อได้เปรียบในระยะยาว
บทเรียนจากไทย เมื่อต้องอนุรักษ์วัฒนธรรมด้วย AI
คุณรัตนพล วงศ์นภาจันทร์ ประธานกรรมการฝ่ายบริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท สยามเอไอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้แบ่งปันประสบการณ์ที่น่าสนใจว่า ประเทศไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีค่อนข้างสูง โดย Siam AI ได้พัฒนาแนวคิด ”AI as a Service” เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้ง่ายขึ้น ซึ่งมีตัวอย่างที่น่าสนใจคือการพัฒนาระบบแปลภาษาอัตโนมัติที่มีความแม่นยำถึง 99% สำหรับการเรียนการสอน ซึ่งจะช่วยให้มหาวิทยาลัยไทยสามารถรองรับนักศึกษาต่างชาติได้ง่ายขึ้น โดยอาจารย์เพียงแค่บันทึกเสียงสอนเป็นภาษาไทยครั้งเดียว ระบบก็สามารถแปลเป็นภาษาจีนหรือภาษาอื่นๆ ได้อัตโนมัติ นอกจากนี้ยังพัฒนา Digital Human และการผลิตคอนเทนต์รูปแบบวิดีโอเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยใช้ต้นทุนเพียง 2000 บาทเท่านั้น และสิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือการพัฒนาระบบที่รองรับภาษาถิ่นต่างๆ ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นภาษาอีสานหรือภาษาใต้ ซึ่งจะช่วยให้คนในทุกภูมิภาคสามารถสื่อสารกับ AI ได้ในภาษาท้องถิ่นของตนเอง
”สิ่งสำคัญคือการฝึกฝน AI ด้วยข้อมูลวัฒนธรรมไทยของเราเอง เพราะ AI ที่ถูกพัฒนาในต่างประเทศอาจไม่เข้าใจบริบท และความละเอียดอ่อนของวัฒนธรรมไทย ตัวอย่างเช่นเมื่อใช้ AI ทั่วไปในการสร้างภาพทุเรียน ภาพที่ได้อาจมีลักษณะภายนอกถูกต้อง แต่เมื่อเปิดดูข้างในกลับเป็นเนื้ออะโวคาโด หรือเมื่อสร้างภาพอาหารไทยอย่างแกงส้ม ก็อาจไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง นี่แสดงให้เห็นว่าการสร้างฐานข้อมูลและการฝึกฝน AI ด้วยข้อมูลท้องถิ่นเป็นหน้าที่ของคนในประเทศนั้นๆ ที่ต้องรับผิดชอบในการอนุรักษ์ และถ่ายทอดวัฒนธรรมของตนเองให้กับเทคโนโลยี เพื่อให้คนรุ่นต่อไปสามารถเข้าถึงมรดกทางวัฒนธรรมที่ถูกต้องและสมบูรณ์ได้”
อุปสรรคที่ต้องเผชิญ ความคิดเก่าและความเร็วของเทคโนโลยี
คุณรัตนพล กล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญของประเทศไทยคือความคิดแบบเก่าเกี่ยวกับการลงทุนด้านเทคโนโลยี โดยหลายองค์กรในไทยยังมีความคิดว่าต้องการของที่เป็นของตัวเองเท่านั้น เมื่อมีงบประมาณก็ต้องการซื้อ server มาไว้ในห้องข้อมูลขององค์กรเอง ไม่อยากใช้บริการ cloud หรือเช่าใช้บริการ แต่เทคโนโลยี AI เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก เมื่อขออนุมัติงบประมาณเพื่อซื้อ server แล้วรอจนได้รับการอนุมัติและซื้อจริง อาจใช้เวลาหลายเดือน และเมื่อถึงเวลาที่ติดตั้งเสร็จ เทคโนโลยีนั้นก็อาจล้าสมัยไปแล้ว นอกจากนี้ ในยุคที่ข่าวปลอมและข้อมูลเท็จแพร่หลายได้ง่าย บทบาทของ editor จึงมีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม พวกเขาต้องมีความสามารถในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล กรองข้อมูลขยะออกไป และรักษาความน่าเชื่อถือขององค์กร
หลักการ ”garbage in garbage out” ยังคงเป็นความจริงแม้ในยุค AI
ความเป็นมนุษย์ Skills สำคัญที่ AI ทำไม่ได้
คุณรัตนพลเน้นย้ำว่าแม้ AI จะมีความสามารถมากมาย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาคนในองค์กร เพราะสิ่งที่มนุษย์ทำได้แต่ AI ทำไม่ได้คือความเป็นมนุษย์ที่มี empathy หรือความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น intuition หรือสัญชาตญาณที่มาจากประสบการณ์และการตัดสินใจที่ไม่สามารถอธิบายด้วยข้อมูลได้ทั้งหมด และ relationship skills หรือทักษะในการสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างมนุษย์ด้วยกัน สิ่งเหล่านี้คือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดที่องค์กรต้องรักษาและพัฒนาควบคู่ไปกับเทคโนโลยี
มุมมองจากเวียดนาม AI จะพัฒนาได้ต้องทะลายความเข้าใจผิด
Ivy Nhi Chau ผู้ก่อตั้ง Ivy Partners จากเวียดนาม กล่าวว่า สถานการณ์ในเวียดนามมีลูกค้ารายใหญ่ระดับโลกอย่าง Google ที่มีโครงการพัฒนา AI อยู่ในประเทศ แสดงให้เห็นว่าเวียดนามมีศักยภาพในด้านเทคโนโลยีค่อนข้างสูง แต่เมื่อลงไปถามคนทั่วไปตามท้องถนน หลาย ๆ คนกลับบอกว่า AI เป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพเท่านั้น ซึ่งความเข้าใจผิดนี้ถือเป็นอันตรายต่อการพัฒนา เพราะทำให้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี ทั้งที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพชีวิตและการทำงานได้
ดังนั้นเวียดนามจึงพยายามให้ความรู้ผ่านสื่อและโซเชียลมีเดียว่า AI สามารถใช้ได้กับทุกคน ไม่ใช่แค่ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมทั้งวางโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาเพื่อให้เยาวชนรุ่นใหม่สามารถเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม
AI กำลังกำหนดทิศทางใหม่ของการค้นหา การรับรู้ และการตัดสินใจของผู้บริโภค การสื่อสารในเอเชียจึงต้องก้าวข้ามวิธีคิดแบบเดิม และหันมาให้ความสำคัญกับข้อมูลที่เชื่อถือได้เป็นหัวใจหลัก แบรนด์ต้องเรียนรู้ที่จะสื่อสารกับทั้ง “ผู้คน” และ “อัลกอริทึม” ไปพร้อมกัน บทบาทขององค์กรจึงไม่ใช่การผลิตคอนเทนต์จำนวนมากอีกต่อไป แต่คือการสร้างข้อมูลที่ถูกต้อง ตรวจสอบได้ และมีคุณค่ามากพอให้ AI เลือกหยิบไปขยายต่อสู่ผู้บริโภค
ขณะเดียวกัน ทักษะด้านมนุษย์ ความเข้าใจ ความสัมพันธ์ และการตีความบริบท ก็ยังเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีไม่อาจทดแทนได้ และนี่คือจุดที่ One Asia Communications (OAC) ทำหน้าที่สำคัญในฐานะเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่น 12 ประเทศที่จะช่วยให้แบรนด์ผสานกลยุทธ์ AI-powered communication เข้ากับบริบทจริงของแต่ละพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ OAC จึงไม่เพียงเป็นพันธมิตรด้าน PR แต่เป็นพลังขับเคลื่อนที่ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวก และเติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของภูมิภาคเอเชีย
