เริ่มแล้วงาน “ภูเขาทอง (วัดสระเกศ)” สืบสานประเพณีห่มผ้าแดง บูชาพระบรมมาสารีริกธาตุ องค์พระเจดีย์บรมบรรพต นมัสการ 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญ เพื่อความเป็นสิริมงคล
ประเพณีห่มผ้าแดง ”งานภูเขาทอง (วัดสระเกศ)” เป็นพิธีที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 มีความเชื่อว่า การได้ห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์บรมบรรพต จะสร้างอานุภาพแห่งการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายนานาประการ
โดยในปีนี้ งานภูเขาทอง (วันสระเกศ ) จะเริ่มขึ้นใน วันศุกร์ ที่ 8 เดือนพ.ย. จะสิ้นสุด วันอาทิตย์ ที่ 17 เดือนพ.ย.
ประวัติความเป็นมาประเพณีห่มผ้าแดง บูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานภูเขาทองนี้เป็นประเพณีเก่าแก่มีมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีการจัดมานานกว่า 100 ปีแล้ว (หยุดจัดงานไป 2 ครั้งคือ ประมาณพุทธศักราช 2497 ที่ได้บูรณะบรมบรรพตภูเขาทอง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และงานพระราชพิธีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พุทธศักราช 2559-2561)
หลังได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานที่พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศ ได้มีการจัดพิธีการห่มผ้าแดงขึ้นทุกปี ในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12 จนถึง วันแรม 2 ค่ำ เดือน 12 ตั้งแต่ก่อนจนถึงหลังพิธีลอยกระทง รวม 10 วัน 10 คืน
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับมอบพระบรมสารีริกธาตุมาจากประเทศอินเดียแล้วโปรดให้นำมาประดิษฐานไว้บน บรมบรรพต ภูเขาทอง พระองค์รับสั่งให้มีการจัดงานเพื่อทำการเฉลิมฉลอง บูชาพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อชาวพระนคร พระองค์ได้พระราชทานผ้าสีแดงเพื่อมาห่มบูชาพระบรมสารีริกธาตุ อันเป็นธงชัยสัญลักษณ์ของงานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ เนื่องจากในสมัยก่อนภูเขาทองเป็นสถานที่สูงสามารถมองเห็นได้จากที่ห่างไกลไปหลายกิโลเมตร นับว่าเป็นความอัจฉริยภาพของพระองค์ที่ได้นำผ้าสีแดงมาเป็นสัญลักษณ์ของงานนี้
ทำให้ประชาชนที่อยู่ห่างไกลมองเห็นธงสีแดงแล้วเกิดความเข้าใจว่า งานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ วัดภูเขาทอง เริ่มขึ้นแล้ว ก็จะพากันมากราบไหว้สักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุ แม้ในสมัยพุทธกาลก็มีพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุใหญ่บ้างเล็กบ้าง องค์ใหญ่คนก็มองเห็น องค์เล็กคนก็มองไม่เห็น พระโพธิสัตว์ได้นำผ้ามาประดับบูชาพระบรมสารีริกธาตุอันเป็นสัญลักษณ์ว่า ที่ตรงนี้มีพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ทำให้คนที่ผ่านไปมาได้ทราบแล้วมาทำการบูชา นับว่ามีอานิสงส์มากมาย นับเป็นเจตนาที่ดีของบูรพมหากษัตริย์ไทยที่ได้พระราชทานผ้าสีแดงมาเพื่อทำการห่มบูชาพระบรมสารีริกธาตุและคนไทยเชื้อสายจีนหรือคนจีนยังถือว่าสีแดงเป็นสีแห่งความเป็นมงคล
ทั้งนี้ความหมายของการห่มผ้าสีแดงให้กับองค์พระบรมสารีริกธาตุ ภูเขาทอง เนื่องจากสีแดงตามความเชื่อโบราณคือสีแห่งความเป็นมงคล
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่า ผู้ที่เขียนชื่อ และนามสกุล ลงบนผ้าสีแดงแล้วนำผ้านั้นไปห่มบูชาพระบรมสารีริกธาตุก็จะได้รับความเป็นสิริมงคล อีกทั้งยังทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย
เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตมากยิ่งขึ้น เมื่อมาวัดสระเกศ ควรจะไหว้ที่ไหนบ้าง มาทำความรู้จัก 9 สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญภายในวัดสระเกศ
1.ลานโพธิ์ลังกา/พระพุทธเจ้าน้อย/ต้นโพธิ์ลังกาพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์/รูปเหมือนสมเด็จ พระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) ลานโพธิ์ลังกา เป็นสถานที่รวม 3 สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของพระอาราม ประกอบด้วย 1.1 ต้นโพธิ์ลังกา Bodhi Lanka ต้นโพธิ์ หรือต้นอัสสัตถพฤกษ์ พันธุ์พระศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอาจารย์ดีและพระอาจารย์เทพ หัวหน้าสมณทูตจากวัดสระเกศซึ่งรัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้ไปสืบพระศาสนาที่ประเทศศรีลังกาเป็นเวลา 3 ปี เมื่อกลับมาได้นำต้นกล้าซึ่งเป็นหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์จากเมืองอนุราธบุรีมาถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เมื่อปี พ.ศ.2353 พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกไว้ที่วัดสระเกศหนึ่งต้น อีกสองต้นโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกไว้ที่วัดสุทัศน์และวัดมหาธาตุ พระศรีมหาโพธิ์คงเจริญงอกงามเป็นร่มเงาถึงทุกวันนี้ การที่เราได้แสดงความเคารพ ถวายสักการะต้นโพธิ์ เปรียบเสมือนได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและซึมซับพระธรรมคำสั่งสอนมาสู่ชีวิต เพื่อให้เกิดสันติสุขภายในใจของผู้มีศรัทธาทั้งหลาย ท่ามกลางความสงบร่มเย็นที่ท่านจะสัมผัสได้เมื่ออยู่ใต้ร่มโพธิ์แห่งนี้
1.2 พระพุทธเจ้าน้อย แสดงถึงความเป็นหนึ่งในโลก ความเป็นยอดคนในโลก และความเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก พระพุทธเจ้าน้อยซึ่งประดิษฐาน ณ ลานโพธิ์ลังกา เป็น 1 ใน 3 พระพุทธเจ้าปางประสูติที่หล่อขึ้นเพื่ออัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ลุมพินีวัน ประเทศเนปาล สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า โดยได้อัญเชิญอีก 1 องค์มาประดิษฐานที่ลานโพธิ์ลังกา ด้านหน้าพระอุโบสถวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงการบูรณะเส้นทางแสวงบุญสู่ลุมพินีวัน สถานที่ประสูติของพุทธเจ้า
1.3 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระมหาเถระผู้เป็นประวัติศาสตร์ความทรงจำพระพุทธศาสนาโลก
หากเอ่ยนามพระสงฆ์ผู้เป็นต้นแบบแห่งสงฆ์ที่พุทธบริษัทปรารถนาจะได้พบเห็น ซึ่งเป็นหนึ่งในทัสนานุตริยะที่เป็นมงคลยิ่ง เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นพระมหาเถระที่ได้รับการกล่าวนามถึงมากที่สุดรูปหนึ่งใประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาบนผืนแผ่นดินไทย ทั้งนี้ ก็ด้วยใบหน้าที่เปิดยิ้ม ฉายแววแห่งความเมตตา ทักทายผู้คนทุกชนชั้นที่พบเห็น นอกจากนั้น เจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังเป็นผู้ริเริ่มวางรากฐานแนวคิดนำพระพุทธศาสนาก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ และนำพระพุทธศาสนาขจรขจายไปก้องโลก เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นองค์ปฐมผู้ก่อตั้งสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ทำให้วัดไทยเกิดขึ้นทุกมุมโลก ปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน • ขอความเป็นหนึ่งขอพระพุทธเจ้าน้อย • ขอวิสัยทัศน์ขอหลวงพ่อสมเด็จฯ • ขอความสำเร็จ ขอต้นพระศรีมหาโพธิ์
2.พระประธานประจำพระอุโบสถวัดสระเกศ มีพระนามว่า “พระพุทธมงคลชินสีห์วชิรมุนี” พระพุทธลักษณะของพระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิซึ่งไม่ค่อยพบมากนักในงานช่างไทยสมัยเดียวกัน
3.พระอัฏฐารส/หลวงพ่อดุสิต มีพระนามเต็มว่า พระอัฏฐารสศรีสุคตทศพลญาณบพิตร ศิลปะสกุลช่างสมัยสุโขทัยตอนต้น คาดว่า มีอายุร่วม 700 ปี เป็นประพุทธรูปยืนที่มีความสูงที่สุดในกรุงเทพมหานคร มีความสูงถึง 5 วา 1 ศอก 10 นิ้ว (21 ศอก 1 นิ้ว) หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์ โดยไม่มีการเชื่อมต่อ นับว่าเป็นการหล่อพระพุทธรูปด้วยโลหะที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชนชาติไทย เดิมประดิษฐานอยู่วัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก วัดประจำพระราชวังจันทน์ ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ต่อมา รัชกาลที่ 3 โปรดฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่พระวิหาร วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันพระอัฏฐารสเป็นพระพุทธรูปหล่อโลหะองค์สุดท้ายของกรุงสุโขทัยที่คงหลงเหลืออยู่ ในวันที่ 15 เมษายนของทุกปี พระวิหารพระอัฏฐารส ยังใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ บทมหาสมัยสูตร เพื่อทำน้ำพระพุทธมนต์แจกจ่ายให้ประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของวัดสระเกศที่สืบเนื่องมาแต่สมัยรัชกาลที่ 3 จนถึงปัจจุบัน
4. คัมภีร์โบราณ 2000 ปี พระธรรมเจดีย์นี้มีการขุดค้นพบในถ้ำเทือกเขาบาบิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน บนเส้นทางสายไหม ซึ่งสมัยพุทธกาล เรียกว่า “แคว้นคันธาระ” อันเป็นแคว้นต้นกำเนิดพระพุทธรูปยุคแรกของโลก โดยพระคัมภีร์ดังกล่าวได้รับการยืนยันว่า เป็นผลงานจารึกของเหล่าพระอรหันตสาวก ในราวพุทธศตวรรษที่ 6 หรือประมาณ 2000 ปีมาแล้ว ได้ทำการจารึกลงบนใบลาน เปลือกไม้ หนังสัตว์ และแผ่นทองเหลือง ด้วยอักษร “พราหมีโบราณ” ซึ่งเป็นอักษรที่ใช้ในสมัยพุทธกาลหรือหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งนี้ สถาบันอนุรักษ์สเคอเยนแห่งราชอาณาจักรนอร์เวย์ ได้พระคัมภีร์ชุดแรกมาจากผู้ค้าของเก่า ซึ่งถูกลักลอบขนย้ายออกจากหุบเขาบาบิยัน และแตกหักเล็กน้อยไว้ได้ประมาณ 5000 ชิ้น และชิ้นส่วนเล็กๆ อีกประมาณ 8000 ชิ้น ซึ่งนักโบราณคดี นักภาษาศาสตร์ จากนานาชาติได้ร่วมกันชำระเป็นเวลา 12 ปี จึงทำให้ทราบแน่ชัดว่า พระคัมภีร์โบราณนั้น คือ “พระไตรปิฎก” นั่นเอง
ในปี พ.ศ.2554 สถาบันอนุรักษ์สเคอเยนได้มอบชิ้นส่วนคัมภีร์โบราณ จำนวน 2 ชิ้น แก่วัดสระเกศ โดยชิ้นส่วนคัมภีร์นี้ทำมาจากใบลาน ความยาวประมาณ 4 เซ็นติเมตร มีรายละเอียดระบุถึงโพธิสัตว์ปิฎกสูตร ชิ้นส่วน “คัมภีร์โบราณ” เหล่านี้คือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าแม้กาลเวลาจะล่วงมาเกิน 2000 ปี แต่แนวทางการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ายังคงได้รับการรักษาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์และถูกสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
5.หลวงพ่อดำ พระพุทธรูปหลวงพ่อดำ เป็นพระปูนปั้นปิดทอง ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 4 ศอก ฝีมือช่างปั้นยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปที่สร้างคู่กับพระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) มาแต่ต้น เล่ากันว่าสร้างไว้เพื่อให้เจ้านายและพุทธบริษัททั่วไปที่ไม่สามารถขึ้นไปสักการะด้านบนองค์พระบรมบรรพตได้บูชาที่พระพุทธรูปองค์นี้แทน ส่วนที่เรียกว่า “หลวงพ่อดำ” เพราะแต่เดิมลงรักสีดำไว้แล้วไม่ได้ปิดทอง จึงกลายเป็นพระพุทธรูปสีดำ แต่ภายหลังได้มีการบูรณะปิดทององค์หลวงพ่อและสร้างวิหารใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับที่เป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญของวัด จนมีความสวยงามดังที่เห็นในปัจจุบัน • ขอโชคลาภขอความรัก ขอหลวงพ่อดำ
6.หลวงพ่อดวงดี มีพระนามเต็มว่า “พระพุทธมงคลบรมบรรพต” เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หรือปางตรัสรู้ มีพุทธลักษณะพุทธศิลป์แห่งพุทธศตวรรษที่ 26 มีความงดงาม โดดเด่น ด้วยศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หล่อขึ้นจากแผ่นดวงมหาโภคทรัพย์ที่บรรจุอยู่บนยอดพระบรมบรรพต ภูเขาทอง
7.หลวงพ่อโชคดี มีพระนามเต็มว่า ”พระพุทธมงคลสุวรรณบรรพต” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือปางชนะมาร ขนาด 39 นิ้ว มีพุทธลักษณะพุทธศิลป์ มีความโดดเด่นด้วยพระเกศมีลักษณะเปลวเพลิง หล่อด้วยเงิน บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีความงดงามด้วยศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
8.หลวงพ่อโต หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูป ในสมัยรัชกาลที่ 3 หน้าตักกว้าง 7 ศอก 1 คืบ ส่วนสูง 10 ศอก นับว่าป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะที่มีขนาดใหญ่และมีความสำคัญมากองค์หนึ่ง เพราะการสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ทั่วไปในสมัยก่อนมักจะปั้นด้วยปูนมากกว่า ส่วนที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ”หลวงพ่อโต” ก็คงเนื่องจากเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่นันเอง
9.พระบรมสารีริกธาตุ เมื่อปี 2441 มิสเตอร์ วิลเลี่ยม แคลกตัน เปปเป ชาวอังกฤษ ได้ขุดพบอิฐธาตุในพระสถูป ณ ที่ใกล้ตำบลปิปราหวะ ตั้งอยู่ปลายชายแดนเนปาล คือ เมืองกบิลพัสดุ์ มีอักษรเมาริยะที่เก่าแก่จารึกบนผอบเก่าแก่ที่สุดในอินเดีย บอกว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า คือ ส่วนที่กษัตริย์ศากยราช ในกรุงกบิลพัสดุ์ได้รับแบ่งปันในเวลาที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
ขณะนั้นมาเครสเคอสันเป็นอุปราชครองอินเดียอยู่ แต่ก่อนเคยอยู่ที่กรุงเทพฯ มีความคุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ปรารภว่า สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นพุทธศาสนูปถัมภกอยู่ในโลกเวลานั้น ก็มีแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์เดียว จึงมีความประสงค์จะถวายพระบรมสารีริกธาตุนั้นแด่พระองค์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุมเปรียญ) แต่ครั้งยังเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต เป็นผู้แทนกรุงสยามไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุนั้น และครั้งนั้น ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาในนานาประเทศ คือ ญี่ปุ่น พม่า ลังกา และประเทศไซบีเรีย เป็นต้น ต่างก็ได้ส่งทูตเข้ามาทูลขอพระบรมสารีริกธาตุ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานไปตามประสงค์ พระบรมสารีริกธาตุที่เหลือโปรดสร้างพระเจดีย์ทองสัมฤทธิ์เป็นที่บรรจุ แล้วโปรดให้ประกอบพระราชพิธีบรรจุในพระเจดีย์บนยอดพระบรมบรรพต และจัดงานเฉลิมฉลองเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน จนเกิดเป็นที่มาของการจัดงานประเพณีประจำปี “งานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ” หรืองานวัดภูเขาทอง ปรากฏอยู่