เมื่อ : 08 ต.ค. 2568

บริษัทที่ปรึกษากลยุทธ์ระดับโลก  Roland Berger แถลงรายงานวิเคราะห์ทิศทางห่วงโซ่อุปทานโลกในยุคที่เอเชียกำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลาง เมื่อเร็วๆนี้  ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยเชิญผู้สื่อข่าวจากหลายประเทศจากอาเซียนเข้าร่วมกว่า 10 คน โดยมีข้อความเตือนที่สำคัญสำหรับประเทศไทยว่า แม้จะมีศักยภาพสูงในการเป็นฐานการผลิตยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ แต่กำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะติดอยู่ในกับดักของ ”ฐานผลิตราคาถูก” หากไม่สามารถยกระดับทักษะแรงงานและปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างทันท่วงที

 

นายจอห์น โลว์ ผู้บริหารประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Roland Berger ย้ำเตือนในงานแถลงข่าวครั้งนี้ว่า ”Green isn’t a trend. It’s survival.” หรือ ”สีเขียวไม่ใช่กระแส แต่คือการอยู่รอด” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโลกธุรกิจยุคใหม่ที่การเติบโตไม่ได้วัดกันที่ขนาดหรือกำไรอีกต่อไป แต่คือความยั่งยืนและความยืดหยุ่นเอเชียยุคใหม่ ความยืดหยุ่นคือประสิทธิภาพ

ในรายงาน “Asia Supply Chain Reconfiguration” ของ Roland Berger ชี้ว่า ศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานโลกกำลังเคลื่อนย้ายจากตะวันตกมาสู่เอเชียอย่างถาวร โดยมีแรงผลักดันหลักจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์กับสหรัฐฯ ทำให้บริษัทในเอเชียเร่งสร้าง ”ระบบนิเวศเศรษฐกิจแบบครบวงจร” (self-contained ecosystems) เพื่อลดการพึ่งพาตลาดตะวันตก

 

รายงานยังระบุอีกว่า นายเดนี เดอพูซ์ กรรมการผู้จัดการระดับโลกของ Roland Berger แจ้งว่า แนวคิดใหม่คือ ”Resilience is the New Efficiency” หรือ ”ความยืดหยุ่นคือประสิทธิภาพยุคใหม่” โดยห่วงโซ่อุปทานในอนาคตต้องตอบโจทย์ 4 ด้านพร้อมกัน ได้แก่ มีประสิทธิภาพ (Efficient) ยืดหยุ่น (Resilient) ดิจิทัล (Digital) และยั่งยืน (Sustainable)


ทั้งนี้ในภูมิภาคอาเซียน อินโดนีเซียถูกยกให้เป็น ”ดาวเด่น” ด้วยการครอง 42% ของทรัพยากรนิกเกิลโลก ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของแบตเตอรี่ EV และกำลังผลักดันกลยุทธ์แบตเตอรี่ระดับชาติเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจร ขณะที่มาเลเซียโดดเด่นในฐานะผู้นำด้านการประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ (OSAT) 

สำหรับประเทศไทย รายงานระบุว่ามีศักยภาพสูงมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ สะท้อนจากตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ที่พุ่งขึ้นถึง 47% ตั้งแต่ปี 2022 และการเป็นฐานการส่งออกยานยนต์และคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนรองจากเวียดนาม โดยรัฐบาลยังได้ผลักดัน EV Industry Roadmap พร้อมแพ็กเกจสนับสนุนมูลค่าสูงถึง 848000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจาก 93000 คัน เป็น 2.5 ล้านคันภายในปี 2040

อย่างไรก็ตาม นายจอห์น โลว์ ชี้ว่า ”จุดอ่อนหลักที่ไทยเผชิญคือ การยกระดับทักษะแรงงานและบุคลากร”โลว์เตือนว่า การที่ไทยมีต้นทุนแรงงานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แรงงานมีทักษะเฉพาะทางน้อย ทำให้ขาดความได้เปรียบด้านราคาเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนามหรือกัมพูชา และหากยังไม่ยกระดับทักษะแรงงานและบุคลากรให้มีศักยภาพสูงขึ้น อุตสาหกรรมไทยจะยังคงติดอยู่ในกลุ่มที่ใช้แรงงานมากกว่าใช้เทคโนโลยี”

คำเตือนนี้หมายความว่า หากไทยไม่เร่งปรับตัว จะกลายเป็นเพียง ”ฐานผลิตราคาถูก” (low-cost manufacturing base) ไปตลอด ไม่สามารถก้าวขึ้นไปเป็น ”ศูนย์กลางนวัตกรรม” (innovation hub) ที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงและมีรายได้ต่อหัวประชากรสูงขึ้นได้

 

นอกจากประเด็นด้านทักษะแรงงานแล้ว การปรับตัวเข้าสู่มาตรฐานสีเขียวก็เป็นอีกปัจจัยชี้ขาด โดยรายงานระบุว่า มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมจากสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ ”กลยุทธ์สีเขียว” กลายเป็นเงื่อนไขเพื่อให้บริษัท ”มีสิทธิ์อยู่” ในตลาดโลกในเชิงบวก

 

รายงานข่าวระบุด้วยว่า Roland Berger กำลังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของไทย เพื่อร่วมวางแนวทาง ”กลยุทธ์การลงทุนสีเขียว” ซึ่งจะผูกโยงการส่งเสริมการลงทุนเข้ากับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้พลังงานสะอาดสำหรับประเทศไทย นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายในการ ”กระโดดข้ามกับดัก” จากประเทศรายได้ปานกลางสู่ประเทศพัฒนาแล้ว โดยกุญแจสำคัญไม่ได้อยู่ที่เงินลงทุนหรือโครงสร้างพื้นฐาน แต่อยู่ที่ ”คน” และความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ