จี้ ‘อนุทิน’ สั่งปตท. ส่งท่อก๊าซคืนรัฐ ขีดเส้น 60 วัน

สภาผู้บริโภคร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยื่นหนังสือถึงถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ขอให้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ขีดเส้น 60 วัน เร่งสั่งการให้ ปตท. ส่งคืนท่อก๊าซทั้งหมดแก่กระทรวงการคลัง หลังรัฐเสียหายกว่า 6 แสนล้านบาท ในช่วง 22 ปี นับตั้งแต่การแปรรูป ปตท.
สภาผู้บริโภคร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ทำหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงพลังงาน เรียกร้องให้เร่งรัดการปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 ที่สั่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) และนายกรัฐมนตรีให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ35/2550 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2550 ที่กำหนดให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ต้องส่งคืนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ได้แก่ท่อส่งก๊าซธรรมชาติทั้งระบบที่มีการแปรรูปไปเมื่อปี 2544 คืนให้แก่กระทรวงการคลัง โดยขอให้เร่งดำเนินการภายใน 60 วัน มิฉะนั้นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจะมีความผิดตามมาตรา 157 ซึ่งจะมีการฟ้องร้องต่อไป
เมื่อวันที่ 3 ต.ค. น.ส.รสนา โตสิตระกูล กรรมการนโยบายและประธานอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค ระบุว่า สาเหตุของการยื่นหนังสือครั้งนี้ มาจากการคืนท่อก๊าซธรรมชาติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ35/2550 ยังไม่ครบถ้วน และคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 ก็มีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่สั่งการให้การคืนท่อก๊าซตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดให้ครบถ้วน ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2550
“การปฏิบัติตามคำพิพากษายังไม่ครบถ้วน ทำให้รัฐสูญเสียผลประโยชน์ทั้งในด้านทรัพย์สิน และรายได้ค่าผ่านท่อก๊าซกว่า 6 แสนล้านบาท ตั้งแต่การแปรรูปปตท. เมื่อปี พ.ศ. 2544-2566 เป็นเวลา 22 ปี และประชาชนยังต้องจ่ายค่าผ่านท่ออีกปีละประมาณ 30000 ล้านบาทต่อไปทุก ๆ ปี รายได้ค่าผ่านท่อของ บมจ.ปตท. เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟฟ้าแพง ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคทั้งประเทศ” น.ส.รสนา กล่าว
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคในฐานะผู้แทนของผู้บริโภค และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคในฐานะผู้ฟ้องคดีเดิม จึงทำหนังสือเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกุล เร่งดำเนินการสั่งการให้ ปตท. ส่งคืนท่อก๊าซธรรมชาติทั้งหมดตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 ที่นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรี และผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานรวมถึงบมจ. ปตท. ที่เป็นรัฐวิสาหกิจต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ35/2550 และตามมติ ครม. 18 ธ.ค. 2550 ภายใน 60 วัน นับตั้งแต่ได้รับหนังสือจากสภาผู้บริโภค และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน พร้อมย้ำว่าหากไม่มีการดำเนินการดังกล่าว สภาฯ และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จะต้องใช้สิทธิทางกฎหมายและการเคลื่อนไหวในฐานะผู้แทนผู้บริโภคและผู้ฟ้องคดีต่อไป
ย้อนรอยคดีท่อก๊าซ
ที่ผ่านมามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ยื่นฟ้องร้องคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน และบมจ.ปตท. ต่อศาลปกครองสูงสุดให้เพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ ประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2544
ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาที่ ฟ.35/2550 แม้ไม่เพิกถอนการแปรรูป บมจ.ปตท. แต่สั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ร่วมกันแบ่งแยกและคืนสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ได้มาโดยอำนาจมหาชนให้แก่กระทรวงการคลัง และไม่ให้บมจ.ปตท. ใช้อำนาจรัฐอีกต่อไป
พล.อ สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ยอมรับคำพิพากษาที่ ฟ.35/2550 เรื่องการแบ่งแยกสาธารณสมบัติคืนให้แผ่นดิน และมีมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 18 ธ.ค. 2550 จำนวน 3 ข้อ 1. มอบหมายกระทรวงพลังงาน และกระทรวงการคลัง เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนคณะรัฐมนตรีในการดำเนินการคืนทรัพย์สินตามคำพิพากษา 2. ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องในการคืนทรัพย์สิน และ 3. หากมีข้อโต้แย้งในเรื่องการคืนทรัพย์สินให้กฤษฎีกาเป็นผู้วินิจฉัยให้เป็นที่ยุติ
ทั้งนี้ สตง. ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องในการแบ่งแยกและคืนสาธารณสมบัติตามมติ ครม. ได้ตรวจสอบและระบุว่าท่อก๊าซที่ต้องส่งคืนกระทรวงการคลังคือท่อก๊าซชุดเดียวกับที่มีการแปรรูปไปเมื่อปี พ.ศ.2544 มูลค่าประมาณ 47613 ล้านบาท ต่อมา บมจ.ปตท.ได้คืนท่อก๊าซบนบก 3 เส้นให้กระทรวงการคลัง มูลค่าประมาณ 15000 ล้านบาท และกระทรวงการคลังได้ทำสัญญาให้ บมจ.ปตท. เช่าใช้เป็นเวลา 30 ปี ตั้งแต่พ.ศ 2550 - 2580 ในราคาค่าเช่าสูงสุดปีละ 550 ล้านบาท ส่วนท่อก๊าซที่ยังไม่ได้คืนให้กระทรวงการคลัง รวมมูลค่าอีกประมาณ 32613 ล้านบาท ประกอบด้วยท่อก๊าซบนบก 14393 ล้านบาท และในทะเล จำนวน 18220 ล้านบาท
การคืนท่อก๊าซตามคำพิพากษา จึงยังไม่ครบถ้วน โดยบมจ.ปตท. ได้โต้แย้งกับสตง.ผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องว่าท่อก๊าซในทะเลไม่ใช่สาธารณสมบัติที่ต้องคืนให้กระทรวงการคลัง
ต่อมาในปี 2557 สตง. ได้ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาวินิจฉัย โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ในการพิจารณา และได้มีคำวินิจฉัย ในปี 2559 โดยยกข้อความในคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดว่า ศาลฯไม่ได้มองท่อก๊าซเป็นท่อน เป็นส่วน แต่มองท่อก๊าซเป็นระบบ ดังนั้นการคืนท่อก๊าซธรรมชาติของ บมจ.ปตท.จึงไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ35/2550
นอกจากนี้ เมื่อปี 2566 ศาลปกครองสูงสุดได้มีข่าวประชาสัมพันธ์ออกมายืนยันตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 ว่า การคืนทรัพย์สินตามมติครม.ที่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฯ โดยหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเป็นผู้ควบคุมให้มีการปฏิบัติให้เป็นไปตามมติ ครม. ปี 2550