เมื่อ : 08 ต.ค. 2568

สภาผู้บริโภค เดินหน้าฟ้องร้อง “ศรีสวัสดิ์” ทำนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมเพื่อเลี่ยงดอกเบี้ยที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เอาเปรียบผู้บริโภคทำสัญญาเงินกู้ ถูกคิดดอกเบี้ยแพง ให้เซ็นเอกสารในกระดาษเปล่า เร่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย จัดทำสัญญาที่เป็นธรรม


​วันที่ 8 ต.ค. สภาผู้บริโภคได้ร่วมเป็นตัวแทนของผู้บริโภค ในการดำเนินการยื่นฟ้อง บริษัท ศรีสวัสดิ์ และบริษัทในเครือ ต่อศาลแพ่ง รัชดา เนื่องจากมีการทำนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมเพื่อเลี่ยงดอกเบี้ยที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จัดทำสัญญาขึ้นใหม่ขัดกับเจตนาเดิมของผู้บริโภคเพื่ออำพรางสัญญากู้ยืม โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวนมากว่าผู้บริโภคได้รับผลกระทบและถูกเอาเปรียบในการทำสัญญาหลายด้าน

น.ส.นันณภัชสรณ์ เตชปัญญาพิพัฒน์ ทนายความซึ่งรับผิดชอบคดีเกี่ยวกับเงินกู้ศรีสวัสดิ์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบของสภาผู้บริโภค พบว่าบริษัทศรีสวัสดิ์และในเครือ มีการทำนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมเงิน มุ่งจุดประสงค์ให้ได้ดอกเบี้ยหรือค่าบริการอื่น ๆ ให้ได้มากที่สุด ทั้งคิดดอกเบี้ยสูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด รวมถึงการให้ลงลายมือชื่อบนกระดาษเปล่าโดยไม่แจ้งรายละเอียดแห่งสัญญากู้ ทำให้ถูกเก็บเงินค่าธรรมเนียมค่าบริการและอื่น ๆ โดยไม่แจ้งให้ผู้บริโภคทราบขณะทำสัญญา พร้อมส่งมอบเงินกู้ไม่ครบถ้วนโดยไม่แจ้งรายละเอียด อีกทั้งยังไม่ส่งมอบสัญญากู้ฉบับตัวจริง ตารางแสดงภาระหนี้สิน และใบเสร็จหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นหลักฐานและเพื่อการตรวจสอบ สำหรับพฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากถูกละเมิดสิทธิและได้รับผลกระทบทางการเงินที่ต้องรับภาระมากขึ้น มีผลเสียทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถชำระหนี้ต่อไป จึงเกิดผิดสัญญาเงินกู้ตามมา

 

​ทั้งนี้ภายหลังการตรวจสอบของสภาผู้บริโภคจึงได้ดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง เพื่อให้ดำเนินคดีกับบริษัทศรีสวัสดิ์และบริษัทในเครือรวม 6 บริษัทประกอบด้วย บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด บริษัท เงินสดทันใจ จำกัด บริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 จำกัด (มหาชน) บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2022 จํากัด และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด สหไทย โดยการฟ้องร้องครั้งนี้มีสาระสำคัญใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การละเมิดสิทธิผู้บริโภค การผิดสัญญาการให้บริการ และการเรียกร้องค่าเสียหายให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ

​ขณะเดียวกันสภาผู้บริโภคได้ขอให้ศาลมีแนวทางปกป้องและคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคหลายด้าน ทั้งการขอให้เพิกถอนสิทธิในการรับหลักประกันทางธุรกิจและสิทธิในการบังคับหลักประกันของบริษัทในเครือศรีสวัสดิ์จำนวน 4 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด บริษัท เงินสดทันใจ จำกัด บริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 จำกัด (มหาชน) และบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2022 จํากัด เพื่อให้มีหลักฐานส่งต่อเรื่องให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าดำเนินการเพิกถอนสิทธิดังกล่าวต่อไป มีเป้าหมายเพื่อไม่ให้บริษัทศรีสวัสดิ์และบริษัทในเครือทั้ง 4 แห่ง สามารถรับหลักประกันทางธุรกิจเพิ่มเติมจากผู้บริโภคในการทำสัญญาเงินกู้ต่อไปอีกในอนาคต


​ประการต่อมาได้เรียกร้องให้มีการคืนเงินดอกเบี้ยที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดให้กับผู้บริโภคที่ได้ชำระเงินไปแล้ว พร้อมทั้งขอให้ศาลมีคำวินิจฉัยกำหนดแนวทางการชำระหนี้ที่เป็นธรรม โดยให้คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยที่ถูกต้องตามกฎหมายสำหรับผู้บริโภคที่ยังคงค้างชำระ เพื่อให้เกิดบรรทัดฐานในการคุ้มครองประชาชนทั่วประเทศ และให้เป็นกรณีตัวอย่างไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจลักษณะเดียวกันดำเนินการเอาเปรียบผู้บริโภคในรูปแบบเดิมอีกต่อไป


​นอกจากนี้ ยังได้เรียกร้องให้บริษัทศรีสวัสดิ์และในเครือทั้ง 6 บริษัท ชำระค่าเสียหายแก่ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบไม่ต่ำกว่า 200000 บาท พร้อมทั้งขอให้ศาลกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษเพื่อยับยั้งมิให้เกิดการกระทำเช่นนี้ซ้ำขึ้นในอนาคต รวมถึงได้ยื่นฟ้องในข้อหาละเมิดสิทธิสำหรับผู้บริโภคที่เคยถูกดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรม โดยเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 20000 บาท

 

​น.ส.นันณภัชสรณ์ กล่าวต่อว่า พฤติกรรมของศรีสวัสดิ์เข้าข่ายละเมิดกฎหมายหลายฉบับ ทั้งพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 พ.ร.บ้.ข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562  พ.ร.บ.ว่าด้วยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 พ.ร.บ.ทวงถามหนี้ พ.ศ.2548 พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ ตลอดจนบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประกาศคณะปฏิวัติ ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศว่าด้วยคณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณา พ.ศ.2565 และประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่อง ให้ธุรกิจการให้กู้ยืมเพื่อผู้บริโภคของสถาบันการเงินเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา (ฉบับที่2) และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2565 เป็นต้น ซึ่งสะท้อนถึงความผิดซ้ำซ้อนและการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคในหลายด้าน


​สำหรับวัตถุประสงค์ในการฟ้องร้องครั้งนี้ จึงไม่ได้ต้องการช่วยเหลือผู้กู้บางรายเท่านั้น แต่เป็นการปกป้องสิทธิของคนไทยทุกคนในการเข้าถึงสัญญาที่เป็นธรรม และทำให้ประชาชนทุกคนต้องไม่ถูกเอาเปรียบจากธุรกิจการเงินที่ไม่โปร่งใส รวมถึงการใช้กรณีนี้เป็นต้นแบบสำคัญในการปกป้องสิทธิของประชาชนที่ทำสัญญากับบริษัทศรีสวัสดิ์และบริษัทในเครือด้วยเช่นกัน
​อีกทั้งการดำเนินคดีครั้งนี้สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมที่ผู้บริโภคต้องเผชิญในระบบสินเชื่อเงินกู้ของไทย โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยที่จำเป็นต้องพึ่งพาการกู้ยืม ซึ่งหากปล่อยให้บริษัทเอกชนใช้อำนาจโดยไม่มีกลไกควบคุมจะยิ่งสร้างผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง


​ทั้งนี้สภาผู้บริโภคจะเดินหน้าทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชน เพื่อปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานให้ได้รับความเป็นธรรม และสร้างมาตรฐานใหม่ในระบบการเงินที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ต่อไป


​อย่างไรก็ตามการฟ้องร้องศรีสวัสดิ์ในครั้งนี้ มาจากการที่สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค ที่ได้รับความเสียหายจากการทำสัญญาเงินกู้ จึงนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีตามมา