สวทช. จัดงานประชุมวิชาการ ‘NAC2025’ ขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย AI เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน

เมื่อวันที่ 27 มี.ค. ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2568 (NSTDA Annual Conference 2025 : NAC2025) การประชุมจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย AI เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน” (AI-driven Science and Technology for Sustainable Thailand” เพื่อเผยแพร่ความรู้และผลงานวิจัย สร้างความตระหนัก สร้างแรงบันดาลใจ และส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI โดยมุ่งเน้นการนำเสนอความก้าวหน้าและผลกระทบของเทคโนโลยี AI ต่อการพัฒนาประเทศในหลากหลายมิติ อาทิ ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการศึกษา งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 -28 มี.ค. ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดยมีผู้ร่วมรับเสด็จฯ ประกอบด้วย นายพงศธร กาญจนะจิตรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นายสุจินต์ หลีสกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดธัญบุรี พ.อ.ธวัชชัย วรรณดิลก รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 พล.ต.ต. ยุทธนา จอนขุน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจ.ปทุมธานี ศ. ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงอว. ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช.คณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ พร้อมอดีตผู้บริหาร คณะผู้บริหารและพนักงานกระทรวง อว. และ สวทช.
น.ส.ศุภมาส กราบบังคมทูลรายงานว่า สวทช.เป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับของกระทรวง อว. ที่ดำเนินงานตามพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2534 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 34 ปี โดยมีเป้าหมายหลักในการสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ภายใต้แผนงานการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (Science and Technology Implementation for Sustainable Thailand)
ในปีงบประมาณ 2567 สวทช. พัฒนางานวิจัยเชิงรุกที่สร้างผลกระทบในวงกว้าง โดยมีผู้ได้รับประโยชน์มากกว่า 8 ล้านคน ครอบคลุมหน่วยงานกว่า 40000 แห่ง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมกว่า 20000 ล้านบาท และส่งผลให้เกิดการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการผลิตและบริการกว่า 3600 ล้านบาท อีกทั้งยังมีการอบรมพัฒนาเกษตรกรไทยกว่า 10000 คน

ด้านความเป็นเลิศทางวิชาการ สวทช. มีบทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ 724 บทความ คำขอจดทรัพย์สินทางปัญญา 247 คำขอ และได้รับรางวัลทั้งในระดับชาติและนานาชาติ 78 รางวัล นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแก่เยาวชนกว่า 10000 คน
ศ.ดร.ชูกิจ กราบบังคมทูลรายงานว่า ปีนี้ สวทช. นำเสนอผลงานวิจัยและพัฒนาด้าน AI และการบูรณาการกับศาสตร์แขนงต่าง ๆ ภายใต้การดำเนินงานของ 5 ศูนย์วิจัยแห่งชาติ ได้แก่ BIOTEC MTEC NECTEC NANOTEC และ ENTEC เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศและประชาชน นอกจากนี้ สวทช. ยังจัดการสัมมนาพิเศษ “Decoding Thailand’s AI Future: Strategy for Competitive Edge” ในวันที่ 26 มี.ค. โดยร่วมมือกับ Techsauce เชิญวิทยากรชั้นนำมาร่วมถอดรหัสและวางยุทธศาสตร์เส้นทางสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI สำหรับประเทศไทย ครอบคลุมการวางรากฐานนโยบาย ค้นหาโอกาส Quick Win ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เรียนรู้บทเรียนจากทั่วโลกเพื่อกำหนดทิศทางที่เหมาะสมกับไทย และเจาะลึกปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านกรณีศึกษาจากภาคธุรกิจชั้นนำ ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI ในรูปแบบต่าง ๆ ผ่านผลงานวิจัยของ สวทช.
ประกอบด้วย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและผลงานเด่นของ สวทช. จำนวน 11 บูท ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ผลงานวิจัยของ สวทช. กว่า 100 บูท รวมถึงบูทจากหน่วยงานพันธมิตรอีก 40 บูท ทั้งหมดนี้มุ่งเน้นการพัฒนา AI เพื่อเพิ่มศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมของประเทศ
สวทช. ยังได้จัดสัมมนาวิชาการกว่า 35 หัวข้อ โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ AI มาร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ ขณะเดียวกัน ในส่วนของกิจกรรม OPEN HOUSE ได้จัดเส้นทางพิเศษ 9 เส้นทาง เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงห้องปฏิบัติการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศ รวมถึงกิจกรรมพิเศษสำหรับเด็กและเยาวชนที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจด้าน AI

ทั้งนี้ ศ.ดร.ชูกิจ ได้กราบบังคมทูลเบิกคณะผู้เข้ารับพระราชทานรางวัลในกิจกรรมพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการวิจัย ที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้การสนับสนุนและส่งเสริมเพื่อสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการประยุกต์ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ให้เกิดนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ โดยมีผู้เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท รับพระราชทานถ้วยรางวัลพระราชทานและเกียรติบัตร จำนวนทั้งสิ้น 21 ราย ดังนี้
1.ผู้ชนะเลิศการประกวดแข่งขันสิ่งประดิษฐ์ระดับชาติ NSTDA Micro-mouse contest
จำนวน 1 ทีม จากโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา
2.ผู้ชนะเลิศการแข่งขันออกแบบและสร้างหุ่นยนต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 16
3.ผู้ชนะเลิศการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 26
4.ผู้ชนะเลิศการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 27
จากนั้นสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำรัสเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2568 และทรงตัดแถบแพรเปิดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “โครงการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” และนิทรรศการความก้าวหน้างานวิจัยพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. สำหรับนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ มีการจัดแสดงโครงการสำคัญ
อาทิ “โครงการ National AI Strategy” หรือ “แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2570)” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และนําไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน ผ่าน 5 ยุทธศาสตร์ 15 แผนงาน ทั้งนี้ แผนปฏิบัติการฉบับนี้ได้ถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2565 การส่งเสริมทักษะโค้ดดิ้งเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังและนักเรียนพิการตามพระราชดำริ

การพัฒนาทักษะด้านโค้ดดิ้งให้กับผู้ต้องขังและนักเรียนพิการเป็นแนวทางสำคัญในการสร้างโอกาสทางการศึกษาและอาชีพอย่างเท่าเทียม ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ทรงส่งเสริมการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ และ สวทช. โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการใน 10 โรงเรียนนำร่องตั้งแต่ปี 2561 โดยใช้บอร์ด KidBright เป็นเครื่องมือพัฒนาทักษะ ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงการสร้างสรรค์โครงงานสมองกลฝังตัว และต่อมาในปี 2567 ได้ขยายขอบเขตสู่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ผ่าน KidBright AI Platform และบอร์ด KidBright μAI เพื่อให้นักเรียนสามารถพัฒนาโครงงานที่ช่วยแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน และแข่งขันในเวทีระดับประเทศและนานาชาติ
ในขณะเดียวกัน มูลนิธิฯ ยังร่วมกับกรมราชทัณฑ์ และ เนคเทค สวทช. พัฒนาโครงการเกษตรอัจฉริยะสำหรับผู้ต้องขัง โดยอบรมหลักสูตร ”เกษตรอัจฉริยะ: โอกาสในการสร้างอาชีพใหม่” ให้กับผู้ต้องขัง 80 คน ในเรือนจำต้นแบบ 2 แห่งที่จุ.ลำปางและหนองบัวลำภู ซึ่งมุ่งเน้นทักษะการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบเกษตรอัจฉริยะ ผ่านการใช้งานอุปกรณ์ HandySense ระบบไฟ ระบบน้ำ และการคำนวณปริมาณน้ำในแปลงเกษตร เพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพหลังพ้นโทษและนำเทคโนโลยีมาสร้างความยั่งยืนในชีวิตต่อไป
เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติแบบเคลื่อนย้ายได้ (MobiiScan) เพื่อใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะตามพระราชดำริฯสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติแบบเคลื่อนย้ายได้ (MobiiScan) ซึ่งเป็นผลงานวิจัยและพัฒนาของ สวทช. ให้แก่หน่วยงานที่ดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะปากแหว่งเพดานโหว่และผู้ที่มีความผิดปกติบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ จำนวน 3 หน่วยงาน ผ่านมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แก่ (1) ศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ ฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

(2) ศูนย์ตะวันฉาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ (3) ศูนย์พัฒนลักษณ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร สำหรับใช้ในการตรวจวินิจฉัย วางแผนการผ่าตัด และติดตามการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีคุณภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
Hydrogen Economy และบทบาทของ สวทช. ต่อการพัฒนาเทคโนโลยีไฮโดรเจน
สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ได้พัฒนาเทคโนโลยีไฮโดรเจนแบบองค์รวม เช่น ไฮโดรเจนชีวภาพ(Biohydrogen) ที่ผลิตจากก๊าซชีวภาพ ของเสียทางการเกษตร น้ำเสีย หรือชีวมวล ซึ่งช่วยลดของเสียและสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน อีกทั้งยังศึกษาการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) จากกระบวนการแยกน้ำด้วยไฟฟ้าโดยใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด งานวิจัยนี้สอดคล้องกับแนวทาง BCG Economy และสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมพลังงาน การขนส่ง และยานยนต์เซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์
ปัจจุบัน ENTEC สวทช. กำลังขยายกำลังการผลิตและร่วมมือกับสมาคมไฮโดรเจนประเทศไทย รวมถึงบริษัทเอกชน เช่น โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย และบางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส เพื่อผลักดันการใช้งานจริงอย่างต่อเนื่อง การยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยด้วยการแพทย์จีโนมิกส์
การแพทย์จีโนมิกส์เป็นแนวทางการรักษาสมัยใหม่ที่ใช้ข้อมูลพันธุกรรมของแต่ละบุคคลในการวินิจฉัยและรักษาโรคอย่างแม่นยำ ลดการลองผิดลองถูกและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รัฐบาลได้ริเริ่มโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2563 - 2567 โดยมีเป้าหมายให้ไทยเป็นผู้นำด้านนี้ในอาเซียน และให้ประชาชนเข้าถึงบริการอย่างทั่วถึง โดยมุ่งเน้นใน 5 กลุ่มโรคหลัก ได้แก่ โรคหายาก โรคมะเร็ง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรคติดเชื้อ และเภสัชพันธุศาสตร์
สวทช. มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลขนาดใหญ่ เชื่อมโยงข้อมูลจีโนมให้แพทย์นำไปใช้จริง กระจายโอกาสทางการแพทย์สู่ภูมิภาค และเสริมศักยภาพบุคลากรด้านสาธารณสุข เทคโนโลยีนี้ช่วยลดผลข้างเคียงจากการรักษา ป้องกันโรคล่วงหน้า และลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะยาว ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และช่วยวางแผนการมีบุตรที่ปลอดภัย ด้วยการสนับสนุนจาก สวทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โครงการนี้จะช่วยให้ไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการแพทย์จีโนมิกส์ในภูมิภาค และสร้างระบบสาธารณสุขที่ทันสมัยเพื่อประชาชน
Gunther IMU และ Janine Applicat
